เมอร์เซเดส-เบนซ์ มองการณ์ไกลกว่าแบตเตอรี่แบบโซลิดสเตต
เมอร์เซเดส-เบนซ์ กำลังเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าอย่างไม่หยุดยั้ง ล่าสุดความร่วมมือกับ Factorial ในการพัฒนาแบตเตอรี่แบบโซลิดสเตต ถือเป็นก้าวสำคัญ แต่เป้าหมายของผู้ผลิตรถยนต์รายนี้ไม่ได้หยุดอยู่เพียงเท่านี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์กำลังมองไปข้างหน้าถึงการใช้แบตเตอรี่แบบผสมผสาน (mixed battery packs) ซึ่งจะประกอบด้วยเซลล์แบตเตอรี่หลายประเภทที่เชื่อมต่อกันแบบขนาน (parallel) แทนที่จะเป็นแบบอนุกรม (series) เหมือนในปัจจุบัน และกุญแจสำคัญที่จะทำให้ความคิดนี้เป็นจริงได้ คือ เทคโนโลยีไมโครคอนเวอร์เตอร์รุ่นใหม่
การใช้แบตเตอรี่แบบอนุกรมในรถยนต์ไฟฟ้าปัจจุบันนั้น เซลล์แบตเตอรี่แต่ละเซลล์จะต่อกันเป็นสายโซ่ ถ้าเซลล์ใดเซลล์หนึ่งมีปัญหา ประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ทั้งชุดจะลดลงอย่างมาก นอกจากนี้ การชาร์จและการปล่อยประจุยังจำกัดด้วยความสามารถของเซลล์ที่มีความจุต่ำที่สุดในสายโซ่ ซึ่งส่งผลให้ประสิทธิภาพโดยรวมไม่เต็มที่
แต่ระบบแบตเตอรี่แบบผสมผสานที่เมอร์เซเดส-เบนซ์กำลังพัฒนา จะแตกต่างออกไป การเชื่อมต่อแบบขนานทำให้เซลล์แบตเตอรี่แต่ละเซลล์ทำงานแยกกัน แม้ว่าเซลล์ใดเซลล์หนึ่งจะเกิดความเสียหาย ระบบก็ยังคงทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และที่สำคัญ การชาร์จและการปล่อยประจุจะไม่ถูกจำกัดด้วยความสามารถของเซลล์ที่มีความจุต่ำที่สุดอีกต่อไป ส่งผลให้ประสิทธิภาพการใช้งานและอายุการใช้งานของแบตเตอรี่เพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
หัวใจสำคัญของเทคโนโลยีนี้คือ ไมโครคอนเวอร์เตอร์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็กที่ออกแบบมาเพื่อควบคุมการทำงานของเซลล์แบตเตอรี่แต่ละเซลล์ในระบบแบบขนาน ไมโครคอนเวอร์เตอร์จะทำหน้าที่ปรับแรงดันและกระแสไฟฟ้าให้เหมาะสม ทำให้เซลล์แบตเตอรี่ทุกเซลล์สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย เทคโนโลยีนี้ถือเป็นนวัตกรรมที่สำคัญที่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถของแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า ทำให้รถยนต์ไฟฟ้ามีระยะทางขับขี่ที่ไกลขึ้น ชาร์จเร็วขึ้น และมีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น
การพัฒนาแบตเตอรี่แบบผสมผสานของเมอร์เซเดส-เบนซ์ นับเป็นการก้าวกระโดดครั้งสำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า นอกเหนือจากการร่วมมือกับ Factorial ในการพัฒนาแบตเตอรี่แบบโซลิดสเตตแล้ว การวิจัยและพัฒนาไมโครคอนเวอร์เตอร์แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในการสร้างเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่เหนือกว่า และนำไปสู่การพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพสูง เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างสมบูรณ์แบบ
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของรถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อวงจรการผลิตและต้นทุนการผลิตด้วย การใช้แบตเตอรี่แบบผสมผสานอาจช่วยลดความซับซ้อนในการออกแบบและการผลิต ทำให้ต้นทุนการผลิตถูกลง และเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันให้ราคาของรถยนต์ไฟฟ้าลดลง เข้าถึงได้ง่ายขึ้นสำหรับผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น นับเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยสร้างความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในอนาคต
อนาคตของรถยนต์ไฟฟ้าดูสดใสยิ่งขึ้นด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ เช่นนี้ การแข่งขันด้านเทคโนโลยีแบตเตอรี่กำลังเข้มข้น และนวัตกรรมของเมอร์เซเดส-เบนซ์ นับเป็นอีกก้าวสำคัญที่น่าจับตามอง และอาจเป็นตัวกำหนดทิศทางของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในอนาคตได้เลยทีเดียว
#ขายรถไฟฟ้ามือสอง #รถมือสองเจ้าของขายเอง #รถเก๋งไฟฟ้ามือสอง #รถเก๋งไฟฟ้ามือสอง #รถยนต์ไฟฟ้ามือสอง #รถไฟฟ้ามือสอง #รถEVมือสอง #ev2car